27/6/58

10 Surreal Places To Visit Before You Die!

http://www.eat-travel-love.com/2013_07_01_archive.html
       
       ...ยังมีอีกหลายร้อยพันหมื่นสถานที่บนโลกใบนี้ที่ยังรอให้ใครสักคนมาค้นพบ โลกอันลี้ลับแห่งนี้ยังมีอะไรแฝงอยู่อีกมากมายโดยที่เรามิอาจคาดถึง มันอาจเป็นเรื่องที่ทำให้เราประหลาดใจสุด ๆ ทำให้กลัวสุด ๆ ทำให้ซึ้งสุด ๆ หรือแม้กระทั่งทำให้เรามีความสุขสุด ๆ แต่ก็ไม่มีใครรู้ได้ เว้นเสียแต่จะมีคนมาค้นพบมัน และสิ่งที่จะนำเสนอต่อไปนี้ก็คงเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้เราตะลึงงันสุด ๆ และประทับใจสุด ๆ หลายคนคงสงสัย ถ้าอยากรู้ว่าเป็นอะไร ก็ขอให้อ่านต่อไป ใบ้ให้ว่า มันเป็นสถานที่ที่คุณต้องไปให้ได้ก่อนตายเชียวแหละ!...

1.Petra ประเทศจอร์แดน
100 สถานที่สวยที่สุดในโลก น่าตะลึงแทบลืมหายใจ !!!
100 สถานที่สวยที่สุดในโลก น่าตะลึงแทบลืมหายใจ !!!
นครเปตรา คือนครหินแกะสลักโบราณที่ซ่อนตัวอย่างลึกลับในหุบเขาวาดี มูซา หุบเขาที่ตั้งอยู่ระหว่างทะเลสาบเดดซีกับทะเลอัคบาในประเทศจอร์แดน เป็นเมืองที่เจาะสลักเข้าไปในหินเกือบทั้งหมด รอบบริเวณไม่ว่าจะเป็นวิหาร หลุมศพ บันได โรงละคร ซึ่งขุดสลักตั้งแต่ยอดเขาลงมาเป็นหลืบลดหลั่นเป็นช่อชั้นงดงาม แสดงถึงฝีมือและศิลปะในการสลักหินได้อย่างยอดเยี่ยม ถือกันว่าเป็นศูนย์กลางของอารยธรรมเบื้องต้นของเขตตะวันออกกลาง นครนี้แต่เดิมนั้นเป็นนครแห่งการค้าขนาดใหญ่ซึ่งต่อมาถูกละทิ้งเป็นเวลานานกว่า 700 ปี จนเมื่อมีนักสำรวจชาวสวิตเซอร์แลนด์ โยฮันน์ ลุควิก บวร์กฮาร์ท เดินทางผ่านมาพบเห็นเข้าเมื่อปี 1812 ภายหลังที่นี่เลยกลายเป็นแหล่งความรู้อย่างดีของนักโบราณคดี และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่หนึ่งในโลก

2.ทะเลสาบสีชมพู Hiller lake (pink lake) ทางตะวันตกของประเทศออสเตรเลีย
100 สถานที่สวยที่สุดในโลก น่าตะลึงแทบลืมหายใจ !!!
100 สถานที่สวยที่สุดในโลก น่าตะลึงแทบลืมหายใจ !!!
ทะเลสาบฮิลลิเออร์ นี้ตั้งอยู่บนเกาะมิดเดิ้ล ไอส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย แปลกประหลาดล้ำตรงที่ว่าน้ำในทะเลสาบแห่งนี้มีสีชมพูคล้ายนมสตรอเบอร์รี่มิลค์เชค และถึงแม้ว่าในโลกนี้ยังมีทะเลสาบสีชมพูอีกหลายแห่ง แต่ทะเลสาบฮิลลิเออร์นั้นมีความแตกต่างจากทะเลสาบสีชมพูแห่งอื่น ๆ ตรงที่น้ำในทะเลสาบเป็นสีชมพูจริง ๆ ไม่ได้เกิดจากการตกตะกอน แสงสะท้อน หรือสาหร่ายในน้ำ เมื่อตักน้ำในทะเลสาบฮิลลิเออร์มาใส่ขวดก็จะได้น้ำสีชมพูใส และจะเป็นสีชมพูอยู่อย่างนี้ตลอดไปจนนักวิทยาศาสตร์อึ้งไปตาม ๆ กัน น่าอัศจรรย์ใจมาก ซึ่งมีข้อสันนิษฐานว่าสีชมพูนั้นเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในเกล็ดของเกลือนั่นเอง 

3.หมู่เกาะ Palau ประเทศปาเลา

100 สถานที่สวยที่สุดในโลก น่าตะลึงแทบลืมหายใจ !!!
100 สถานที่สวยที่สุดในโลก น่าตะลึงแทบลืมหายใจ !!!
ทะเลสาบแมงกะพรุนไร้พิษ หรือ Jellyfish Lake นี้ตั้งอยู่บนเกาะ Eil Malk ซึ่งเป็นเกาะหนึ่งในหมู่เกาะ Rock Islands ที่สาธารณรัฐปาเลา ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดดำน้ำยอดนิยมที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และจุดเด่นที่สุดของที่นี่คือ แมงกะพรุนทอง (Golden Jellyfish) นับล้านตัวแหวกว่ายอยู่

4.Glass Beach แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
100 สถานที่สวยที่สุดในโลก น่าตะลึงแทบลืมหายใจ !!!
100 สถานที่สวยที่สุดในโลก น่าตะลึงแทบลืมหายใจ !!!
ชายหาดแก้ว แห่งนี้ เดิมที่เป็นที่ทิ้งขยะของรัฐแคลิฟอร์เนีย หลายสิบปีผ่านไป ขยะที่เป็นเศษแก้วถูกคลื่นซัดสาดหายไป จนกลายเป็นชายหาดแสนสวยอย่าวน่าอัศจรรย์  

5.Glow worm cave ประเทศนิวซีแลนด์ 
100 สถานที่สวยที่สุดในโลก น่าตะลึงแทบลืมหายใจ !!!
100 สถานที่สวยที่สุดในโลก น่าตะลึงแทบลืมหายใจ !!!
เหมือนดาวอยู่ใกล้แค่เอื้อมในถ้ำสุดมหัศจรรย์แห่งนี้ “Waitomo Glowworm Caves” หรือถ้าแปลตรงตัวก็คือ ถ้ำหนอนเรืองแสงตั้งอยู่ที่เกาะเหนือ ทางตอนใต้ของเมืองไวกาโต ประเทศนิวซีแลนด์ คำว่า Waitomo แปลว่า น้ำที่ลอดผ่านถ้ำ ซึ่งเป็นชื่อที่มาจากลักษณะทางกายภาพภายในถ้ำที่มีสายน้ำไหลผ่าน และสิ่งที่ทำให้หลายคนต้องตกตลึงเมื่อเข้าไปสู่ถ้ำแห่งนี้ ก็คือ แสงระยิบระยับ จนเหมือนว่ากำลังมองดูดวงดาวบนฟ้าในยามค่ำคืน โดยสาเหตุของแสงที่ว่านี้ก็เนื่องมาจาก หนอนเรืองแสง ที่อยู่ภายในถ้ำนั่นเอง

6.Fingal’s Cave ประเทศสก็อตแลนด์
100 สถานที่สวยที่สุดในโลก น่าตะลึงแทบลืมหายใจ !!!
100 สถานที่สวยที่สุดในโลก น่าตะลึงแทบลืมหายใจ !!!
แม้ว่า ถ้ำฟิงกอล ที่ประเทศสกอตแลนด์นี้อาจจะดูเหมือนเป็นโครงสร้างบล็อก ๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น  แต่ความจริงแล้วเสาหินหกเหลี่ยมนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจำนวนมาก ด้วยสภาพถ้ำที่เป็นโพรงแนวยาว ทำให้ภายในถ้ำเกิดเป็นเสียงสะท้อน คล้ายเสียงดนตรีได้ด้วย บางทีคนก็เรียกถ้ำนี้ว่า “Cave of melody”

7.Venice ประเทศอิตาลี
100 สถานที่สวยที่สุดในโลก น่าตะลึงแทบลืมหายใจ !!!
 100 สถานที่สวยที่สุดในโลก น่าตะลึงแทบลืมหายใจ !!!
ในบรรดาเมืองท่องเที่ยวของอิตาลี เมืองเวนิส ดูจะเป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์เฉพาะที่แตกต่างจากทุกเมืองในโลก เป็นเมืองที่ตั้งอยู่กลางทะเลสาบที่สวยงามจนได้ฉายาว่าเป็น ราชินีแห่งทะเลอาเดรียติก” ( The Queen of the Adriatic) หรือ เมืองแห่งสายน้ำ” (The City of Water) ที่มีคลองสำหรับใช้สัญจรแทนถนนมากกว่า 150 สาย และมีเรือกอนโดลา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์หนึ่งของเวนิส อีกทั้งยังเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสีสันแห่งศิลปวัฒนธรรม และดนตรียามค่ำคืน ที่ผู้คนทั่วโลกรู้จัก และใฝ่ฝันอยากมาเทียวชมสักครั้งในชีวิต เวนิสเป็นที่รู้จักกันมาช้านานในประวัติศาสตร์ ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางการเดินเรือ และการค้าของทวีปยุโรปนับพันปี

8.Yellowstone National Park, Wyoming สหรัฐอเมริกา
100 สถานที่สวยที่สุดในโลก น่าตะลึงแทบลืมหายใจ !!!
100 สถานที่สวยที่สุดในโลก น่าตะลึงแทบลืมหายใจ !!!
ยลโลว์ สโตน เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของอเมริกาและแห่งแรกของโลกด้วย มีพื้นที่ทั้งหมดอยู่บนที่ราบสูงบนเทือกเขาร็อคกี้ มากกว่า 2 ล้านเอเคอร์ อีกทั้งยังมีบ่อน้ำร้อน และน้ำพุร้อนมากกว่า 10,000 แห่ง ดินแดนแห่งนี้มีอายุมากกว่า 600,000 ปี เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ ทิ้งร่องรอยของหินละลายที่พุ่งผ่านผิวโลกขึ้นมาเย็นตัว เกิดเป็นภูเขาสูง ที่ราบและหุบเหวที่สวยงาม นอกจากนี้ยังมีสัตว์ป่าที่น่าสนใจมากมาย

9.Great Blue Hole ประเทศเบลิส
 100 สถานที่สวยที่สุดในโลก น่าตะลึงแทบลืมหายใจ !!!
100 สถานที่สวยที่สุดในโลก น่าตะลึงแทบลืมหายใจ !!!
หลุมยักษ์น้ำเงินครามแห่งเบลิซ ประเทศนี้อยู่บนฝั่งตะวันออกของอเมริกากลาง ริมทะเลแคริบเบียน หลุมนี้อยู่ห่างจากชายฝั่งเบลิซประมาณ 60 ไมล์ เส้นผ่าศูนย์กลาง 984 ฟุต กับความลึกประมาณ 410 ฟุต เชื่อกันว่าหลุมนี้เป็นหลุมกลางทะเลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก สันนิษฐานกันว่ามันก่อตัวขึ้นในยุคน้ำแข็ง แถมหลุมนี้ยังเป็น 1 ใน 7 หลุมที่นักประดาน้ำจัดอันดับสถานที่น่าดำน้ำที่สุดในโลกอีกด้วย 

10.Athabasca Falls At Dusk, Jasper, Alberta ประเทศแคนาดา
 100 สถานที่สวยที่สุดในโลก น่าตะลึงแทบลืมหายใจ !!!
100 สถานที่สวยที่สุดในโลก น่าตะลึงแทบลืมหายใจ !!!
ภายในอุทยานแห่งชาติแจสเปอร์ มีอยู่ในทะเลสาบลึกลับอยู่นั่นก็คือ ทะเลสาบเมดิซีน แห่งนี้ ทุกฤดูหนาวน้ำจะหายไปเหมือนที่นี่ไม่เคยมีน้ำมาก่อน เกือบเหมือนอ่างอาบน้ำที่ปล่อยน้ำออกได้อย่างน่าอัศจรรย์ ความจริงของสิ่งลึกลับนี้ได้ถูกเปิดเผยออกมาแล้วว่า ทะเลสาบเมดิซีน ไม่ได้เป็นทะเลสาบจริง ๆ แต่เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่รับน้ำ มาลีน วัลเลย์ (Maligne Valley)” ซึ่งในช่วงฤดูร้อนของทุกปีธารน้ำแข็งที่ปกคลุมบนภูเขาในแถบนี้จะละลายลงสู่แม่น้ำมาลีน โดยน้ำจากธารน้ำแข็งส่วนหนึ่งจะมารวมกันอยู่ที่นี่จนกลายเป็นทะเลสาบสวยงามในฤดูร้อนนั่นเอง


       ...เป็นอย่างไรกันบ้างกับสถานที่สุดอัศจรรย์ทั้ง 10 ที่ด้านบน ถึงมันจะดูสุดเอื้อมและยากลำบากที่จะไป แต่สำหรับมนุษย์ผู้รักการผจญภัย ชอบเผชิญโลกกว้าง และต้องการปลดปล่อยชีวิตอันด้านชาและเต็มไปด้วยความเครียดแล้วละก็ สถานที่ดังกล่าวคือสวรรค์ของคุณเลยล่ะ ยังไงก็อย่าลืมเก็บตังค์แล้วทำตามฝันนะ!...  

ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก:
http://travel.truelife.com/detail/3264560

20/6/58

โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์

http://keranews.org/post/think-beauty-computer-code
       ...มนุษย์ใช้ภาษาในการสื่อสารมาตั้งแต่สมัยโบราณ การใช้ภาษาเป็นเรื่องที่มนุษย์พยายามถ่ายทอดความคิดและความรู้สึกต่าง ๆ เพื่อการโต้ตอบและสื่อความหมาย ภาษาที่มนุษย์ใช้ติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน เช่น ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ หรือภาษาจีน ต่างเรียกว่า ภาษาธรรมชาติ” (Natural Language) เพราะมีการศึกษาได้ยินได้ฟังกันมาตั้งแต่เกิด แต่การใช้งานคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นเครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ให้ทำงานตามที่ต้องการ จำเป็นต้องมีการกำหนดภาษาขึ้นมาสำหรับใช้ติดต่อสั่งงานกับคอมพิวเตอร์ ภาษาคอมพิวเตอร์จึงจัดเป็น "ภาษาประดิษฐ์" (Artificial Language) ที่มนุษย์คิดสร้างขึ้นมาเอง เป็นภาษาที่มีจุดมุ่งหมายเฉพาะ มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัวและจำกัด คืออยู่ในกรอบให้ใช้คำและไวยากรณ์ที่กำหนดและมีการตีความหมายที่ชัดเจน จึงจัดภาษาคอมพิวเตอร์เป็นภาษาที่มีรูปแบบเป็นทางการ (Formal Language) ต่างกับภาษาธรรมชาติที่มีขอบเขตกว้างมาก ไม่มีรูปแบบที่ตายตัวแน่นอนซึ่งกฎเกณฑ์ของภาษาจะขึ้นกับหลักไวยากรณ์และการยอมรับของกลุ่มผู้ใช้นั้น ๆ เราสามารถแบ่งภาษาคอมพิวเตอร์ออกได้เป็น 5 ประเภท ดังนี้...

1.ภาษาเครื่อง (Machine Language)

เป็นภาษาเดียวที่เครื่องสามารถปฏิบัติงานตามคำสั่งได้ทันทีโดยไม่ต้องมีตัวแปลภาษาอื่นใดเข้ามาช่วย ซึ่งเป็นภาษาระดับต่ำที่สุด โดยช่วงก่อนปี ค.ศ. 1952 เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้ด้วยภาษาเครื่องภาษาเดียวเท่านั้น เนื่องจากยุคนั้นยังไม่มีการพัฒนาภาษาระดับอื่น ๆ เข้ามาเพื่อช่วยในการทำงาน อีกทั้งคำสั่งของภาษาเครื่องจะใช้เลขฐานสอง คือ 0 กับ 1 แทนข้อมูล และคำสั่งต่าง ๆ ทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับชนิดของเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือหน่วยประมวลผลที่ใช้ นั่นคือแต่ละเครื่องก็จะมีรูปแบบของคำสั่งเฉพาะของตนเอง ซึ่งนักคำนวณและนักเขียนโปรแกรมในสมัยก่อนต้องจำรหัสแทนคำสั่งต่าง ๆ ได้ ทำให้การเขียนโปรแกรมยุ่งยากมากไม่เหมาะสำหรับการพัฒนาโปรแกรมทางด้านธุรกิจหรือเมื่อมีการเปลี่ยนเครื่องคอมพิวเตอร์จำเป็นต้องเขียนโปรแกรมใหม่ทั้งหมด

http://www.123rf.com/photo_4937877_binary-computer-data-background-with-1-and-0.html
2.ภาษาระดับต่ำ (Low Level Language)

เนื่องจากภาษาเครื่องเป็นภาษาที่มีความยุ่งยากในการเขียนดังได้กล่าวมาแล้ว จึงไม่ค่อยได้รับความนิยม ดังนั้น จึงมีการพัฒนาภาษาคอมพิวเตอร์ขึ้นมาอีกระดับหนึ่งโดยการใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษเป็นรหัสแทนตัวเลข 0 กับ 1 เป็นการใช้และตั้งชื่อตัวแปรแทนตำแหน่งที่ใช้เก็บจำนวนต่าง ๆ ซึ่งเป็นค่าของตัวแปรนั้น ๆ นั่นเอง การใช้สัญลักษณ์ช่วยในการเขียนโปรแกรมนี้เรียกว่า ภาษาระดับต่ำ” ภาษาระดับต่ำเป็นภาษาที่มีความหมายใกล้เคียงกับภาษาเครื่องมาก บางครั้งจึงเรียกภาษานี้ว่า ภาษาอิงเครื่อง” (Machine – Oriented Language) ตัวอย่างของภาษาระดับต่ำ  ได้แก่ ภาษาแอสเซมบลี เป็นภาษาที่ใช้คำในอักษรภาษาอังกฤษเป็นคำสั่งให้เครื่องทำงาน เช่น ADD หมายถึง บวก SUB หมายถึง ลบ เป็นต้น การใช้คำเหล่านี้ช่วยให้การเขียนโปรแกรมง่ายขึ้นกว่าการใช้ภาษาเครื่องซึ่งเป็นตัวเลขล้วน ดังตารางแสดงตัวอย่างของภาษาระดับต่ำและภาษาเครื่องที่สั่งให้มีการบวกจำนวน ที่เก็บอยู่ในหน่วยความจำ

ตาราง แสดงความสัมพันธ์ของคำสั่งในภาษาระดับต่ำและภาษาเครื่อง



ภาษาระดับต่ำ            ภาษาเครื่อง                   รหัสเลขฐานสิบหก
MOV   AL,05                  10110000                 00000101       B0      05
MOV   BL,08                  10110011                 00001000       B3      08
ADD   AL,BL                  00000000                 11011000       00      D8
MOV   CL,AL                 10001000                 11000001       88      C1

จากตาราง 
บรรทัดแรก 10110000 00000101 เป็นคำสั่งให้นำจำนวน 5 (หรือเขียนในรูปของเลขฐานสองเป็น 00000101) ไปเก็บในรีจิสเตอร์ชื่อ AL โดยส่วนแรก 10110000 คือรหัสคำสั่ง MOV ซึ่งเป็นการเคลื่อนย้ายข้อมูลจำนวนมาเก็บไว้ในรีจิสเตอร์ AL
บรรทัดที่สอง 10110011 00001000 เป็นคำสั่งให้นำจำนวน 8 (หรือเขียนในรูปของเลขฐานสองเป็น 00001000) ไปเก็บในรีจิสเตอร์ชื่อ BL โดยส่วนแรก 10110011 คือรหัสคำสั่ง MOV ซึ่งเป็นการเคลื่อนย้ายข้อมูลจำนวนมาเก็บไว้ในรีจิสเตอร์ BL
บรรทัดที่สาม เป็นคำสั่งการบวกระหว่างรีจิสเตอร์ AL กับ BL หรือนำ 5 บวก 8 ผลลัพธ์เก็บในรีจิสเตอร์ AL
บรรทัดที่สี่ เป็นการนำผลลัพธ์จากรีจิสเตอร์ชื่อ AL ไปเก็บไว้ในรีจิสเตอร์ชื่อ CL

การใช้โปรแกรมที่เขียนด้วยภาษาแอสเซมบลีนั้น  เครื่องคอมพิวเตอร์ยังไม่สามารถทำงานได้ทันที จำเป็นต้องมีการแปลภาษากลับเป็นภาษาเครื่องเสียก่อน โดยโปรแกรมที่ใช้แปลมีชื่อว่า แอสเซมเบลอร์” (Assembler) ซึ่งจะมีความแตกต่างไปตามเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละชนิด ดังนั้นแอสเซมเบลอร์ของเครื่องชนิดหนึ่งจะไม่สามารถใช้แปลโปรแกรมภาษาแอสเซมบลีของเครื่องชนิดอื่น ๆ ได้ อย่างไรก็ตาม ภาษาแอสเซมบลีนี้ยังคงใช้ยาก เพราะผู้เขียนโปรแกรมจะต้องเข้าใจในการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างละเอียด ต้องรู้ว่าจำนวนที่จะนำมาคำนวณนั้นอยู่ ณ ตำแหน่งใดในหน่วยความจำ ในทำนองเดียวกันกับการเขียนโปรแกรมเป็นภาษาเครื่อง ภาษาแอสเซมบลีจึงมีผู้ใช้น้อย และมักจะใช้ในกรณีที่ต้องการควบคุมการทำงานภายในของตัวเครื่องคอมพิวเตอร์
http://www.peter-cockerell.net/aalp/html/app-c.html
3.ภาษาระดับสูง (High Level Language)

ภาษาระดับสูงเป็นภาษาที่สร้างขึ้นเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการเขียนโปรแกรม กล่าวคือลักษณะของคำสั่งจะประกอบด้วยคำต่าง ๆ ในภาษาอังกฤษ ซึ่งผู้อ่านสามารถเข้าใจความหมายได้ทันที ไม่ต้องกังวลว่าเครื่องคอมพิวเตอร์จะทำงานอย่างไรอีกต่อไป ผู้เขียนโปรแกรมจึงเขียนโปรแกรมด้วยภาษาระดับสูงได้ง่ายกว่าเขียนด้วยภาษาแอสเซมบลีหรือภาษาเครื่อง ภาษาระดับสูงมีมากมายหลายภาษา อาทิเช่น ภาษาฟอร์แทรน (FORTRAN) ภาษาโคบอล (COBOL) ภาษาปาสคาล (Pascal) ภาษาเบสิก (BASIC) ภาษาวิชวลเบสิก (Visual Basic) ภาษาซี (C) และภาษาจาวา (Java) เป็นต้น โปรแกรมที่เขียนด้วยภาษาระดับสูงแต่ละภาษาจะต้องมีโปรแกรมที่ทำหน้าที่แปลภาษาระดับสูงกลับเป็นภาษาเครื่อง เช่น โปรแกรมแปลภาษาฟอร์แทรนเป็นภาษาเครื่อง โปรแกรมแปลภาษาปาสคาลเป็นภาษาเครื่อง คำสั่งหนึ่งคำสั่งในภาษาระดับสูงจะถูกแปลเป็นภาษาเครื่องหลายคำสั่ง ภาษาระดับสูงที่จะกล่าวถึงในที่นี้ ได้แก่

  • ภาษาซีและซีพลัสพลัส (C และ C++) ภาษาซีเป็นภาษาที่พัฒนาจากห้องปฏิบัติการเบลล์ของบริษัทเอทีแอนด์ทีในปี พ.ศ. 2515 หลังจากที่พัฒนาขึ้นได้ไม่นานภาษาซีก็กลายเป็นภาษาที่นิยมในหมู่นักเขียนโปรแกรมมาก และมีใช้งานในเครื่องทุกระดับ ทั้งนี้เนื่องจากภาษาซีได้รวมเอาข้อมูลของภาษาระดับสูงและภาษาระดับต่ำเข้าไว้ด้วยกัน กล่าวคือเป็นภาษาที่มีไวยากรณ์ที่เข้าใจง่าย ทำให้เขียนโปรแกรมได้ง่ายเช่นเดียวกับภาษาระดับสูงทั่วไป แต่ประสิทธิภาพและความเร็วในการทำงานดีกว่ามาก เนื่องจากมีการทำงานเหมือนภาษาระดับต่ำ สามารถทำงานได้ในระดับที่เป็นการควบคุมฮาร์ดแวร์ได้มากกว่าภาษาระดับสูงอื่น ๆ ดังจะเห็นว่าภาษาซีเป็นภาษาที่สามารถพัฒนาระบบปฏิบัติการได้ เช่น ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ นอกจากนี้เมื่อแนวคิดของการเขียนโปรแกรมแบบเชิงวัตถุ (Object Oriented Programming : OOP) ได้เข้ามามีบทบาทในวงการคอมพิวเตอร์มากขึ้น ภาษาซีก็ยังได้รับการพัฒนาโดยประยุกต์ใช้กับการเขียนโปรแกรมดังกล่าว เกิดเป็นภาษาใหม่ที่ชื่อว่า ภาษาซีพลัสพลัส” (C++)

http://www.mpgh.net/forum/showthread.php?t=69305



      https://mrwachs.wordpress.com/tag/xhtml/
    • ภาษาจาวา (Java) ถูกพัฒนาขึ้นในปี พ.ศ. 2534 โดยบริษัทซันไมโครซิสเตมส์ เป็นภาษาที่ได้รับความนิยมสูงมาโดยตลอด เนื่องจากเป็นภาษาที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถเขียนโปรแกรมและใช้งานได้บนเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกประเภทและระบบปฏิบัติการทุกรูปแบบ ในช่วงแรกที่เริ่มมีการนำภาษาจาวามาใช้งานจะเป็นการใช้งานบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นภาษาที่เน้นการทำงานบนเว็บ แต่ปัจจุบันสามารถสามารถนำมาประยุกต์สร้างโปรแกรมใช้งานทั่วไปได้ นอกจากนี้ เมื่อเทคโนโลยีการสื่อสารก้าวหน้าขึ้น จนกระทั่งเครื่องคอมพิวเตอร์ปาล์มท็อป หรือ แม้แต่โทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตและใช้งานระบบเวิลด์ไวด์เว็บได้ ภาษาจาวาก็สามารถสร้างส่วนที่เรียกว่า แอปเพล็ต” (Applet) ให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่กล่าวข้างต้น เรียกใช้งานจากเครื่องที่เป็นแม่ข่าย (Server) ได้

    • ภาษา C# (ซี-ชาร์ป) เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูงที่ใช้สาหรับเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน และเป็นภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสาหรับผู้ที่เริ่มต้นสนใจที่จะเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งภาษา C# ถูกพัฒนามาจากภาษา C++ (ซีพลัสพลัส) และมีโครงสร้างแบบเชิงวัตถุ (Object Oriented Programming) โดยใช้ Visual Studio (วิชวลสตูดิโอ) เป็นเครื่องมือสาหรับพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่ง Visual Studio เป็นเครื่องมือที่คอยอำนวยความสะดวกในการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ทำให้ผู้เขียนโปรแกรมสามารถพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้ไม่ยากนัก ภาษา C# ได้รวบรวมข้อดีของภาษาต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นภาษา Java ภาษา C และ ภาษา C++ โดยมีข้อดีดังนี้

    1. เป็นภาษาที่เขียนง่าย ไม่ซับซ้อนและเรียบง่าย เพราะคล้ายภาษา Java ภาษา C และภาษา C++ ทาให้หลายคนเข้าใจได้ไม่ยาก
    2. เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ยุคใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ภายใต้แนวคิด .NET Framework ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในปัจจุบัน
    3. เป็นภาษาที่ถูกออกแบบมาให้ทำงานบน .NET Framework (ดอตเน็ต เฟรมเวิร์ก) โดย .NET Framework เป็นรูปแบบในการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ ซึ่งบริษัทไมโครซอฟท์เป็นผู้พัฒนา ซึ่งคุณสมบัติที่สำคัญของ .NET Framework ก็คือ ผู้ใช้งานสามารถใช้งานบนระบบฮาร์ดแวร์ (Hardware) หรือ ระบบปฏิบัติการ (Operating System) ที่แตกต่างกันได้อย่างไม่มีปัญหา เช่น เครื่องพีซีกับเครื่องแมค หรือ ระบบปฏิบัติการวินโดว์กับระบบปฏิบัติการแมคอินทอช เป็นต้น ดังนั้น ผู้เขียนโปรแกรมจึงสามารถเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ใหม่ ๆ ได้โดยง่าย รวดเร็ว และไม่ต้องติดข้อจำกัดต่าง ๆ อย่างเช่นการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในสมัยก่อนอีกต่อไป
    4. เป็นภาษาที่แข็งแกร่ง เพราะเป็นภาษาที่ได้มีการแก้ไขข้อบกพร่องบางอย่างของภาษา Java ภาษา C และภาษา C++ ทำให้ภาษา C# เป็นภาษาที่มีความสมบูรณ์ที่สุดตามแบบฉบับของโครงสร้างแบบเชิงวัตถุ (Object Oriented Programming)
    https://sites.google.com/site/programmingm42/phasa-c

    4.ภาษาระดับสูงมาก (Very High-Level Language)


    หรือภาษายุคที่ 4 (Fourth-Generation Language) หรือ 4 GLs เป็นภาษาที่ใช้เขียนโปรแกรมได้สั้นกว่าภาษายุคก่อน ๆ โดยภาษายุคที่ 4 นี้ มีคุณสมบัติแบ่งแยกจากภาษายุคก่อนอย่างชัดเจน กล่าวคือภาษาในยุคก่อนนั้นใช้หลักการเขียนโปรแกรม แบบโพรซีเยอร์ (Procedure Language) ในขณะที่ภาษายุคที่ 4 จะเป็นแบบ ไม่ใช่โพรซีเยอร์ (Non-Procedure Language) ดังนั้น ผู้เขียนโปรแกรมเพียงแต่กำหนดว่าต้องการให้โปรแกรมทำอะไรบ้างก็สามารถเขียนโปรแกรมได้ทันที โดยไม่ต้องทราบว่าทำได้อย่างไร ทำให้การเขียนโปรแกรมสามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว

    5.ภาษาธรรมชาติ (Nature Language)


    ป็นภาษายุคที่ 5 (Fifth-Generation Language) หรือ 5GLs หมายถึง ธรรมชาติของมนุษย์ คือ ไม่ต้องสนใจถึงคำสั่งหรือลำดับของข้อมูลที่ถูกต้อง ผู้ใช้เพียงแต่พิมพ์สิ่งที่ต้องการลงในคอมพิวเตอร์เป็นคำหรือประโยคตามที่ผู้ใช้เข้าใจ ซึ่งจะทำให้มีรูปแบบของคำสั่งหรือประโยคที่แตกต่างกันออกไปได้มากมาย เพราะผู้ใช้แต่ละคนอาจจะใช้ประโยคต่างกัน ใช้คำศัพท์ต่างกัน หรือแม้กระทั่งบางคนอาจจะใช้คำศัพท์แสลงก็ได้ คอมพิวเตอร์จะถามผู้ใช้เพื่อยืนยันความถูกต้อง ภาษาธรรมชาตจะใช้ระบบฐานความรู้ (Knowledge Base System) ช่วยในการแปลความหมายของคำสั่งต่าง ๆ

           ...อย่างไรก็ตาม เนื่องจากภาษาระดับต่ำและภาษาระดับสูงเป็นภาษาที่เครื่องคอมพิวเตอร์ยังไม่สามารถรับรู้ได้ จึงจำเป็นต้องมีชุดคำสั่งที่ใช้เป็นตัวแปลภาษาให้เป็นภาษาเครื่องเสียก่อน และสิ่งนั้นคือ โปรแกรมแปลภาษา (Translator) นั่นเอง ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภท ดังนี้...

    1.ตัวแปลภาษาระดับต่ำ 


    ภาษาระดับต่ำแม้ว่าจะเป็นภาษาที่ใกล้เคียงกับภาษาเครื่องแต่ลักษณะของภาษานี้ใช้ตัวอักษรแทนชุดคำสั่งของเลขฐานสอง (0,1) ในภาษาเครื่อง จึงจำเป็นต้องมีชุดคำสั่งที่ใช้แปลภาษาระดับต่ำให้เป็นภาษาเครื่อง ซึ่งชุดคำสั่งที่ใช้แปลภาษาระดับนี้ ได้แก่ โปรแกรมภาษาแอสเซมบลี (Assembly) ที่ใช้ตัวแปลที่มีชื่อว่า แอสเซมเบลอร์ (Assembler)
    http://www.pp4s.co.uk/main/tu-asm-intro.html
    2.ตัวแปลภาษาระดับสูง


    ภาษาระดับสูงเป็นภาษาที่เขียนขึ้นมาเพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงาน โดยมีรูปแบบคำสั่งที่มนุษย์อ่านและสามารถเข้าใจได้เพราะใช้อักขระในภาษาอังกฤษเป็นองค์ประกอบ แต่คอมพิวเตอร์ไม่สามารถเข้าใจคำสั่งนั้น ๆ จึงจำเป็นต้องมีชุดคำสั่งที่ใช้แปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่องอีกที ซึ่งโปรแกรมภาษาระดับสูงจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
    • คอมไพเลอร์ (Compiler) เป็นโปรแกรมที่ใช้แปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง ลักษณะการแปลภาษาระดับสูงของคอมไพเลอร์นั้นเป็นลักษณะการตรวจสอบคำสั่งที่ได้รับเข้ามาว่าการเขียนคำสั่งนั้นถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ของภาษาหรือไม่ ถ้ายังไม่ถูกต้องก็จะแจ้งข้อผิดพลาดให้ผู้ใช้ทราบเพื่อทำการแก้ไขให้ถูกต้อง ถ้าหากตรวจสอบแล้วถูกต้องจะแปลจาก Source Program ให้เป็น Object Program เก็บไว้ในหน่วยความจำ และถ้ามีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงชุดคำสั่งใหม่ จะต้องมีการแปลชุดคำสั่งใหม่ทั้งโปรแกรม เพื่อเก็บ Object Program อีกครั้ง การใช้คอมไพเลอร์ถ้าเป็นชุดคำสั่งที่ต้องการทำการประมวลผลต่อเนื่องกันหลาย ๆ ครั้ง จะทำให้การประมวลผลเร็ว เพราะไม่ต้องแปลใหม่อีก สามารถเรียกใช้ Object Program ได้เลย ภาษาที่ใช้ตัวแปลประเภทนี้ เช่น ภาษาฟอร์แทรน ภาษาโคบอล ภาษาปาสคาล ภาษาซี เป็นต้น  

    http://www.bloodshed.net/dev/devcpp.html


    • อินเตอร์พรีตเตอร์ (Interpreter) เป็นโปรแกรมที่ใช้แปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่องเช่นเดียวกันกับคอมไพเลอร์ จะแตกต่างอยู่ที่อินเตอร์พรีตเตอร์นั้นทำการแปลและประมวลผลทีละคำสั่ง และทำการประมวลผลทันทีโดยไม่ต้องทำให้เป็น Object Program ถ้าหากพบข้อความผิดพลาดโปรแกรมจะหยุดทำงานทันที เมื่อทำการแก้ไขชุดคำสั่งก็ต้องแปลค่าคำสั่งที่แก้ไขเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่งจึงจะทำการประมวลผลได้โดยที่ไม่ต้องแปลใหม่หมดทั้งโปรแกรม แต่จะทำให้การประมวลผลช้าลง เพราะต้องแปลใหม่ทุกครั้งที่มีการประมวลผล ภาษาที่ใช้ตัวแปลประเภทนี้ เช่น ภาษาปาสคาล ภาษาเบสิก เป็นต้น 


    https://www.cs.uaf.edu/~cs631/node4.html
    http://district.bluegrass.kctcs.edu/kevin.dunn/files/Microprocessor_Fundamentals/Microprocessor_Fundamentals_print.html
    http://www.circuitstoday.com/compilers-vs-interpreters-an-overview-of-the-differences
    http://www.cforall.in/2014/09/difference-between-compiler-and.html


    ที่มา:
    http://www.tice.ac.th/division/website_c/about/page2.htm#
    https://sites.google.com/site/programcomputer56/home/phasa-khxmphiwtexr
    https://sites.google.com/site/programmingm42/phasa-c

    19/6/58

    Social Network กับตนเองและสังคมไทย


    http://thedoctorweighsin.com/arianna-and-lupe-and-deepak-and-sanjay-will-the-cool-factor-drive-mobile-health-adoption/



           ...ณ ปัจจุบัน เราคงไม่พบผู้ใดที่ยังใช้การติดต่อสื่อสารผ่านทางโทรเลขอีก และก็คงเป็นเพียงส่วนน้อยที่คนสองคนจะพูดคุยกันผ่านทางจดหมาย เพราะเหตุใดสิ่งเหล่านี้จึงได้ถูกลดความนิยมในการใช้งานลงไป ?  นั่นก็เพราะว่า ปัจจุบัน "เทคโนโลยี" ได้แทรกซึมเข้ามาในแทบทุกอณูชีวิตของเรา ซึ่งสิ่งนี้เองที่เป็นตัวช่วยสำคัญในการทำให้ชีวิตของเรานั้นง่ายขึ้น สะดวกสบายขึ้น เหนื่อยน้อยลง อีกทั้งยังช่วยย่นระยะเวลาในการทำสิ่ง ๆ หนึ่งลงไป ดังนั้น เราจะมัวไปใช้โทรเลข หรือจดหมาย อยู่ทำไมอีก ในเมื่อเรามีโทรศัพท์มือถืออยู่ในมือ...
           
           แต่ละยุคสมัยผ่านไป โทรศัพท์มือถือก็ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาจนกลายเป็น "สมาร์ทโฟน" อย่างที่เห็นกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เราเริ่มมีการใช้งานแอปพลิเคชั่นที่อำนวยความสะดวกในการพูดคุยติดต่อสื่อสาร เช่น Line, WeChat, Kakao Talk เป็นต้น และในขณะเดียวกันก็มีแอปพลิเคชั่นอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกันเกิดขึ้นเรื่อย ๆ จากความเจริญทางเทคโนโลยี เช่น Facebook, Twitter, Tumblr, Instagram เป็นต้น ซึ่งสิ่งที่กล่าวไปเหล่านี้ ล้วนแต่ทำให้ชีวิตของเราสะดวกสบายขึ้นเป็นหลายเท่าตัว จะเห็นว่าข้อดีของมันก็คือ การอำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารให้ง่ายและรวดเร็วขึ้นนั่นเอง นอกจากนี้ การใช้แอปพลิเคชั่นดังกล่าวยังเป็นการอำนวยความสะดวกในการทำงานอีกด้วยในมุมมองหนึ่ง
           ที่กล่าวไปทั้งหมดนี้ หลายคนก็คงจะทราบกันแล้วว่านี้เอง คือความหมายของคำว่า "Social Network"

    http://www.yourmis.com/services/social-networking

    Social Network กับเยาวชนไทย
           
           ทุกวันนี้คำว่า "เว็บไซต์ โซเชียล เน็ตเวิร์ก" หรือ "เครือข่ายสังคมออนไลน์" ไม่ใช่คำใหม่ในสังคมอีกแล้ว โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน ทำให้โลกปัจจุบันกลายเป็นโลกที่ไร้พรมแดนไปแล้ว ทว่า การเข้ามาของเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ก็เป็นเสมือน "ดาบสองคม" ที่มีทั้งด้านดี และด้านเสีย ขึ้นอยู่กับว่า ผู้ใช้จะนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ หรือเกิดโทษแก่ตัวเอง

           ในด้านการพัฒนาการศึกษาโดยอาศัยประโยชน์จากเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นทุกวัน "โซเชียล เน็ตเวิร์ก" ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะทำให้ครูผู้สอน และนักเรียนใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น นอกเหนือจากเวลาที่อยู่ในห้องเรียน ดังเช่นที่ "คณะกรรมการด้านการศึกษา" ของรัฐเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา มีมติเห็นชอบในการที่จะกำหนดนโยบายอย่างเป็นรูปธรรมเกี่ยวกับการนำเอา "โชเชียล เน็ตเวิร์ก" มาใช้ในฐานะเครื่องมือการเรียนการสอน ยกตัวอย่างในกรณีของ "Facebook" หรือ "Myspace" เว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ยอดนิยม ซึ่งทางคณะกรรมการฯ เล็งเห็นว่า แทนที่บรรดาเด็กนักเรียนจะอาศัยเว็บไซต์เครือข่ายฯ เหล่านี้ในการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือใช้เป็นพื้นที่ในการบอกกล่าวความรู้สึกของตนต่อคนรอบข้างเพียงอย่างเดียว แต่แอปพลิเคชั่น หรือฟังก์ชั่นต่าง ๆ ของเว็บไซต์เหล่านี้ยังสามารถเชื่อมโยงพวกเขากับสถาบันการศึกษา หรืออาจารย์ผู้สอนได้ด้วย เช่น การสั่งรายงาน ส่งการบ้าน หรือแม้กระทั่งแจ้งเตือนเกี่ยวกับวันเวลาสอบ เป็นต้น ขณะเดียวกัน การที่ครูเข้ามาอยู่ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ยังสามารถเปิดโอกาสให้ผู้ใหญ่ ได้เป็นหูเป็นตา ในการสอดส่องดูแลผู้ไม่ประสงค์ดีที่อาศัยช่องทางการติดต่อสื่อสารไร้พรมแดนนี้เข้ามาสร้างความเสียหาย หรือก่อภัยคุกคาม โดยเฉพาะอาชญากรรมเกี่ยวกับเรื่องเพศแก่พวกเด็ก ๆ ได้ ดังที่มีข่าวออกมาให้เราเห็นอยู่บ่อย ๆ กรณีของ "คิมิยะ ฮากิกิ" นักเรียนสาววัย 17 ปี ที่กำลังศึกษาในระดับเกรด 11 ของโรงเรียนแลงเลย์ ไฮสคูล ก็อีกตัวอย่างหนึ่งของการใช้ประโยชน์จากเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ในการ พัฒนาทักษะการเรียนรู้ โดยก่อนหน้านี้เธอมีปัญหาเกี่ยวกับการเขียนเช่นเดียวกับนักเรียนส่วนใหญ่ในชั้นเรียนวิชาภาษาอังกฤษของ "อ.อูเบรย์ ลุดวิก" ทว่าครูผู้สอนของเธอได้แนะนำให้เธอและเพื่อนในชั้นเรียนใช้ "ทวิตเตอร์" ส่งข้อความหากัน แล้วผลที่ออกมาก็เป็นที่น่าพอใจ เมื่อปัญหาการเขียนที่เคยเยิ่นเย้อ และประณีตเกินไปก่อนหน้าได้รับการแก้ไข อันเป็นผลจากการ "ทวีต" ข้อความซึ่งมีการจำกัดอักขระอยู่ที่ไม่เกิน 140 ตัวอักษรต่อครั้งเท่านั้น 


    https://studentaffairscollective.org/creating-an-engaging-social-media-strategy/


    Social Network กับสังคมไทย

           
           แม้ว่าโซเชียลเน็ตเวิร์กจะมีประโยชน์ต่อเราอย่างมหาศาล แต่ในความเป็นจริงแล้ว โทษนั้นก็มีอยู่มากไม่แพ้กันเลย การใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กในการอำนวยความสะดวก "เมื่อจำเป็น" เป็นเรื่องที่ดี แต่หากใช้มากเกินไปจะส่งผลให้เราเป็นคนติดสบาย และกลายเป็นคนขี้เกียจไปโดยปริยาย และยังทำให้เรามีโลกส่วนตัวสูง ชอบอยู่คนเดียว ทำให้การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในโลกแห่งความเป็นจริงน้อยลงอีกด้วย และด้วยเหตุนานัปการ จึงส่งผลให้สังคมไทยปัจจุบันกลายเป็น "สังคมก้มหน้า" ไปอย่างสิ้นเชิง ดังจะแสดงให้เห็นด้วยรูปสะท้อนสังคมต่อไปนี้ (ขอขอบคุณรูปภาพประกอบจาก www.kiitdoo.com/22-ภาพ-สังคมก้มหน้า/)


    8


    1

    10


    12


    16



           ...สุดท้ายนี้ อยากทิ้งท้ายไว้ว่า การใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กนั้นช่วยให้เรามีความสะดวกสบายก็จริง แต่ทุกอย่างมีด้านดีก็ต้องย่อมมีด้านเสีย เพราะฉะนั้น เราควรรู้เวลาว่าเมื่อใดควรใช้ รู้จักแบ่งเวลา รู้กาลเทศะ หากทำได้ตามที่บอก รับรองได้เลยว่าจะไม่มีทางตกเป็นทาสของเทคโนโลยี หรือแม้กระทั่งโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างแน่นอน และที่สำคัญก็ยังคงเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ผู้ปกครองอยู่ดี ที่จะต้องคอยระวังภัยและควบคุมพฤติกรรมการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กของลูกหลาน ไม่ใช่ผลักให้เป็นหน้าที่ของรัฐหรือของผู้ประกอบการแต่เพียงอย่างเดียว การสร้างสังคมที่ดีต้องเกิดจากคนทุกฝ่าย ไม่มีเทคโนโลยีชั้นสูงใดจะสามารถสร้างความอบอุ่นด้วยความรักและความประสงค์ดีมากไปว่าระบบเล็ก ๆ ที่เรียกว่า “ครอบครัว” อีกแล้ว...


    ที่มา:
    http://www.kiitdoo.com/22-ภาพ-สังคมก้มหน้า/
    http://kanitthamsu.blogspot.com/2012/09/social-network.html
    http://v-siam.blogspot.com/2012/06/blog-post_9773.html

    5/6/58

    5 ข้อคิด "พิชิตเครียด"

           
    www.thaihealth.or.th
           
           ...ความเครียดเกิดขึ้นกับคนเราได้อยู่เรื่อย ๆ ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ที่รู้สึกกันได้บ่อยก็คือเรื่องที่ทำให้ทุกข์ แต่ในความเป็นจริงเรื่องที่ดูเหมือนทำให้เรามีความสุขก็ทำให้เครียดได้เหมือนกัน เราคงต้องปรับตัวหรือเปลี่ยนแปลงบางอย่างในตัวของเราเพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข โดยมีหลักคิด 5 ข้อดังนี้...

    1.ต้องตั้งสติกับตัวเองให้ได้ เวลาที่เกิดความเครียด หลายคนมักตั้งตัวไม่ทัน ปล่อยใจไปกับสิ่งเหล่านั้น ผลที่เกิดขึ้นก็คือ ในสมองมีแต่ความวิตกกังวล บางคนเป็นมากจนถึงกับดึงความคิดของตัวเองกลับมาไม่ได้ จมอยู่กับความเครียดนั้น ไม่มีสมาธิทำอะไร อันนี้ต้องรีบบอกรีบเตือนตัวเองให้ตั้งหลักตั้งใจกันใหม่ พยายามอย่าให้อารมณ์พาใจไปมากนัก การค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ ตั้งสติกับตัวเองนั้น เป็นการค่อย ๆ เริ่มเรียนรู้ปัญหา ที่มาของปัญหา และแนวทางที่เราจะใช้แก้ปัญหาได้ดีขึ้น

    https://twitter.com/iipum/status/555951978233081856


    2.ควรอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด หลายครั้งที่ความเครียดเกิดจากความวิตกกังวลว่าอนาคตหรือวันต่อไปจะเป็นอย่างไร คิดว่าเรื่องแย่ ๆ หรือไม่ดีคงต้องเกิดขึ้น ยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่าน สงบสติอารมณ์ของตนเองไม่ได้ นอนไม่หลับ ต้องรอจนเหตุการณ์ผ่านไปเสียก่อนจึงค่อยสงบอารมณ์ลงได้ แต่อีกไม่นานก็มีเรื่องใหม่ให้คิดตามมาอีก เป็นอย่างนี้เรื่อยไป แต่หากลองหยุดทบทวนเหตุการณ์ที่เคยคิดมากมาก่อนสักนิด จะพบว่าสิ่งที่เคยคิดเคยกังวลไม่ค่อยตรงกับเรื่องจริง ๆ ที่เกิดขึ้นเท่าไร หรือถ้าตรงเราก็สามารถมีชีวิตยืนหยัดอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นอย่าไปเปลืองพลังงานสมองให้กับเรื่องเหล่านี้เลย อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไป เพราะสุดท้ายแล้วถ้ามันจะเกิดก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี แล้วเราจะเครียดไปเป็นการทำร้ายตัวเองทำไม มิหนำซ้ำยังทำให้จิตใจขุ่นมัว ขาดทุนชีวิตเสียอีก จำไว้ว่า "ทุก 1 นาที แห่งความเครียด คือการสูญเสีย 60 วินาที แห่งความสุข"

    http://www.keepcalm-o-matic.co.uk/p/keep-calm-and-stay-realistic-1/

    3.ฝึกความยืดหยุ่นกับชีวิตตัวเองให้มากขึ้น คนเรามีความคาดหวังได้บ้างเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับบางคนให้ความสำคัญกับความคาดหวังนั้นมากเป็นพิเศษ ความคาดหวังเป็นสิ่งที่ทำให้เรากระตือรือร้น มีกำลังใจทำสิ่งต่าง ๆ ได้ แต่การยึดติดอยู่กับความคาดหวังมากเกินไปก็สามารถบั่นทอนสุขภาพจิตเราได้ง่าย ๆ ชีวิตทุกคนนั้นมีทั้งสมหวังและผิดหวังสลับกันไป ได้อย่างหนึ่งก็มักต้องเสียอีกอย่างหนึ่ง เผื่อใจไว้บ้างกับความผิดหวัง ลองคิดดูให้ดี ความผิดหวังคงไม่ทำให้ชีวิตดำเนินต่อไปไม่ได้หรอก เพียงแต่อาจรู้สึกแย่หรือเสียความรู้สึกบ้างเท่านั้นเอง

    http://binfind.com/img/hercules+disappointed/any/8


    4.ควรลดคำถามที่ขึ้นต้นว่าทำไมให้น้อยลงบ้าง เพราะส่วนใหญ่ยิ่งถามก็ยิ่งไม่มีคำตอบ แล้วก็วกวนอยู่กับคำถามเหล่านี้ ลองถามกับตัวเองว่าทำไมสิ่งต่าง ๆ ต้องเป็นแบบที่เราต้องการด้วย อาจทำให้เข้าใจความต้องการของตัวเองได้มากขึ้น


    http://www.writtenbysumer.com/blog/converting-leads-buyers-factor/


    5.พยายามสร้างความมั่นใจในตัวเองให้มากขึ้น บางคนค่อนข้างกลัวในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ค่อยกล้าทำอะไร กลัวว่าทำไปแล้วไม่ดี ไม่เป็นที่ถูกใจของคนอื่น หรือถ้าไม่ทำแล้วกลัวคนอื่นไม่สบายใจแต่จะทำก็กลับเป็นการฝืนความรู้สึกตนเอง บางคนมัวแต่กังวลว่าคนอื่นคิดอย่างไรถ้าเราทำแบบนี้ จนในที่สุดก็ไม่กล้าทำในสิ่งที่อยากทำแล้วก็ต้องมานั่งจมอยู่กับความเครียดของตัวเองอีก ดังนั้น เราควรมั่นใจในตัวเองให้มากขึ้น ลดความรู้สึกอ่อนไหวกับคนรอบข้างให้น้อยลงแล้วทำในสิ่งที่อยากทำบ้างถ้าสิ่งนั้นไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตนเองหรือสังคมรอบข้าง ในความเป็นจริงแล้วเราคอยกลัวอยู่เรื่อย ๆ ว่าคนอื่นไม่เห็นด้วยกับความคิดของเรา คิดเองแล้วก็กลัวเองอยู่คนเดียว เอาชนะใจตัวเองให้ได้ก่อนแล้วหลาย ๆ อย่างจะดีขึ้นตามมาเอง จำไว้ว่า "Be yourself, everyone else is already taken."


    http://www.smosh.com/smosh-pit/articles/top-5-reasons-you-should-always-be-yourself-and-top-5-reasons-you-shouldnt

           ...สุดท้ายนี้อยากฝากไว้ว่า ความเครียดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ก็สามารถกำจัดออกได้เช่นกัน หากเรารู้จักคิดและใช้ชีวิตให้เป็นเราก็จะสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างคุ้มค่าและเป็นสุข การเครียดที่มากจนเกินไปนั้นส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจอย่างมหาศาลโดยที่เราอาจคาดไม่ถึง ความเครียดก่อให้เกิดโรคร้ายได้ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคประสาท โรคกระเพาะอาหาร รวมไปถึงโรคมะเร็ง เป็นต้น เมื่อเราเครียดร่างกายจะหลั่งสารฮอร์โมนชนิดเป็นพิษต่อร่างกายออกมาทำให้เราเป็นโรคต่าง ๆ ได้นั่นเอง ผลกระทบของความเครียดนั้นยังมีอีกมาก เช่น ทำให้เรากลายเป็นคนขี้วิตกกังวล คิดมาก ขี้ระแวง และไม่ไว้ใจผู้อื่น เป็นต้น ดังนั้น หากใครอยากมีสุขภาพกายและจิตดีก็ควรปฏิบัติตามหลักคิดดังกล่าว เชื่อว่าจะสามารถเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้มีความสุขได้ สำหรับผู้ที่กำลังประสบภาวะจมอยู่กับความเครียดก็อย่าเพิ่งท้อถอยไปก่อน สิ่งใดเกิดได้ ก็ย่อมดับได้ เช่นเดียวกัน ทุกปัญหา ย่อมมีทางออกเสมอ...  


    ที่มา:
    http://www.thaihealth.or.th/Content/26939-5%20%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%27%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94%27.html

    4/6/58

    เทคโนโลยีกับชีวิตประจำวัน

           ...ในชีวิตประจำวันของเรา คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าในการทำอะไรอย่างหนึ่งนั้นต้องมีเทคโนโลยีมาข้องเกี่ยวอยู่เสมอ หากปราศจากซึ่งเทคโนโลยีแล้ว ชีวิตของเรานั้นคงยุ่งยากขึ้นเป็นพัลวัน ดังนั้น เทคโนโลยีจึงมีประโยชน์ต่อเราอย่างมหาศาล ในแง่ของการอำนวยความสะดวกและลดความยุ่งยากในการทำสิ่ง ๆ หนึ่งลงไป... 

    https://fashionablestylish.wordpress.com/2012/12/11/online-shopping-adding-a-great-deal-of-convenience/

           อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีก็สามารถให้โทษอย่างมหาศาลได้ในเวลาเดียวกัน หากไม่รู้จักใช้หรือใช้ไปในทางที่ผิด ก็จะส่งผลเสียต่อตัวเราทั้งในด้านสุขภาพ อารมณ์ จิตใจ ลามไปถึงครอบครัว สังคม และประเทศชาติในที่สุด แต่ก่อนจะกล่าวถึง เรามาทำความเข้าใจคำว่า "เทคโนโลยี" กันก่อนดีกว่า

    เทคโนโลยี (Technology) 

    คือ การใช้ความรู้ เครื่องมือ ความคิด หลักการ เทคนิค ความรู้ ระเบียบวิธี กระบวนการ ตลอดจนผลงานทางวิทยาศาสตร์ทั้งสิ่งประดิษฐ์และวิธีการ มาประยุกต์ใช้ในระบบงานเพื่อช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการทำงานให้ดียิ่งขึ้น กล่าวคือ เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงานให้ดีมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

    Technology
    http://www.com5dow.com/ไขปัญหาศัพท์-it/2223-เทคโนโลยี-คืออะไร.html


    ความสำคัญของเทคโนโลยี

    1.เป็นพื้นฐานปัจจัยจำเป็นในการดำเนินชีวิตของมนุษย์
    2.เป็นปัจจัยหลักที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศชาติ

    เทคโนโลยีที่ใช้ในชีวิตประจำวัน

    ...อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าในยุคนี้คงจะไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้เลยว่าเทคโนโลยีไม่มีความจำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตของมนุษย์ เพราะทุกคนล้วนใช้เทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตในทุก ๆ ด้าน ตั้งแต่การตื่นนอนจนถึงการเข้านอน ดังนั้นเทคโนโลยีจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองที่ชีวิตประจำวันมีแต่ความเร่งรีบต้องแข่งขันกับเวลา การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเทคโนโลยีสมัยใหม่นอกจากจะช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงานแล้ว ยังช่วยย่นระยะเวลาในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ให้สั้นลงด้วย จะขอยกตัวอย่างเทคโนโลยีที่เราทุกคนต่างก็ใช้เปรียบเสมือนกิจวัตรประจำวันที่ต้องทำทุกวัน มีดังนี้...
    1.คอมพิวเตอร์ เปรียบเสมือน "โลกขนาดย่อ" เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง ความรู้ทุกชนิด ได้ถูกรวบรวมและบรรจุลงไปในเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ชิ้นนี้ เป็นเหมือนเครือข่ายความรู้ขนาดใหญ่ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ นอกจากนี้ เรายังใช้คอมพิวเตอร์ในการทำกิจกรรมอย่างอื่นอีก เช่น การตอบรับและส่งอีเมลล์ เป็นแหล่งความบันเทิงชั้นดี เป็นตัวกลางการสื่อสารทางไกล เป็นต้น ในคอมพิวเตอร์จะมีโปรแกรมต่าง ๆ มากมายซึ่งยิ่งมีโปรแกรมมากเท่าไร คอมพิวเตอร์ก็สามารถทำงานได้มากชนิดขึ้นเท่านั้น
    2.แฟลชไดรฟ์ คือตัวเก็บข้อมูลขนาดย่อม พกพาได้ อย่างเช่นเมื่อเราต้องการนำไฟล์ข้อมูลหนึ่งไปไว้ยังคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่ง เราก็ใช้ตัวแฟลชไดรฟ์เป็นตัวสูบข้อมูลออกมา แล้วนำไปต่อยูเอสบีกับคอมพิวเตอร์เครื่องที่ต้องการให้ข้อมูลไปอยู่นั่นเอง แฟลชไดรฟ์ยังมีประโยชน์อีก คือ เมื่อความจุในคอมพิวเตอร์เต็มจนเราไม่สามารถดาวน์โหลดข้อมูลเก็บไว้ได้ เราไม่จำเป็นต้องตามลบไฟล์อื่น ๆ ทิ้ง เพื่อให้มีเนื้อที่เพียงพอ แต่เราจะใช้ตัวแฟลชไดรฟ์เป็นตัวเก็บข้อมูลแทน
    3.โทรทัศน์ เราใช้เพื่อเสพข่าว ความรู้ และความบันเทิง ในแต่ละวัน ปฏิเสธไม่ได้ว่าโทรทัศน์เป็นสิ่งไม่จำเป็นในการดำรงชีวิต เพราะเราสามารถรับรู้ข่าวสารได้อย่างทันเหตุการณ์ เชื่อถือได้ ก็ผ่านทางโทรทัศน์ทั้งสิ้น
    4.โทรศัพท์มือถือ ในอดีต โทรศัพท์มือถือมีหน้าที่เพียงรับและโทรเท่านั้น แต่ในปัจจุบันเราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าโทรศัพท์มือถือมีการพัฒนาอย่างมาก ทั้งในเรื่องของออปชั่นการใช้งาน และรูปทรงที่ดูกะทัดรัดสวยงามยิ่งขึ้น การพัฒนาเหล่านี้ก็เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้คนที่ต้องการความสะดวกสบาย จากที่มีเพียงการรับสายและโทรออก ก็เริ่มมีเครื่องคิดเลข  ปฏิทิน กล้องถ่ายรูป ฯลฯ มาเป็นลำดับ จนกระทั่งได้รับการพัฒนามาเป็น "สมาร์ทโฟน" ที่มีการใช้กันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน
    5.ไมโครเวฟ มีหน้าที่ให้ความร้อนแก่อาหาร เป็นการถนอมอาหารไม่ให้บูดเร็ว และเป็นการฆ่าเชื้อโรคในทางหนึ่ง เราใช้ไมโครเวฟในการอุ่นอาหารในชีวิตประจำวันโดยเฉพาะกับผู้ที่มีความเร่งรีบก็มักจะใช้งานจากไมโครเวฟอยู่เสมอ
    6.เครื่องปรับอากาศ เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากโดยเฉพาะกับสภาพอากาศในประเทศไทย เครื่องปรับอากาศสามารถให้ความเย็นได้ดีกว่าพัดลม สังเกตได้เมื่อสภาพอากาศร้อนมาก ๆ เราจะนิยมเห็นคนไปเดินที่ห้างสรรพสินค้ารับลมเย็นมากเป็นพิเศษ
    7.เครื่องคิดเลข ช่วยอำนวยความสะดวกในการคิดคำนวณเลขที่มีความซับซ้อน และยุ่งยากในการคิดเอง สังเกตได้ว่าในมหาวิทยาลัยส่วนมากจะอนุญาตให้นักศึกษานำเครื่องคิดเลขเข้าห้องสอบได้ในบางรายวิชา

     http://kongpob21295m11.blogspot.com/2014/07/information-technology-it-3000.html


    ประโยชน์ของเทคโนโลยี

    1.ลดแรงงานคนในการทำงานต่าง ๆ เช่น ควบคุมการผลิต และช่วยในการคำนวน
    2.เพิ่มความสะดวกสะบายตั้งแต่ส่วนบุคคล จนถึงการคมนาคมและสื่อสารทั่วโลก
    3.เป็นแหล่งความบันเทิง
    4.ได้ผลผลิตที่มีมาตรฐาน เหมือนกันหมดทุดชิ้น
    5.ลดต้นทุนการผลิต
    6.ทำให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
    7.ทำให้เกิดสื่อการเรียนการสอนต่าง ๆ มากขึ้น
    8.ทำให้เกิดการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
    9.ทำให้เกิดระบบการป้องกันประเทศที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
                                            ฯลฯ


    http://www.helpmesave300.com/schools.php
    http://en.wikipedia.org/wiki/High_tech


    โทษของเทคโนโลยี

    1.สิ้นเปลืองทรัพยากร เช่น น้ำมัน แก๊ส ถ่านหิน จนกระทั่งน้ำ
    2.เปลี่ยนสังคมชาวบ้าน ให้กลายเป็นวัตถุนิยม 
    3.ทำให้มนุษย์ขาดการใช้แรงงานมากเกินไปจนติดนิสัย
    4.ทำให้เกิดปัญหาการว่างงาน เพราะใช้แรงงานเครื่องจักรแทนแรงงานคน
    5.หากใช้เว็บไซต์จำพวก Social Network มากเกินไป จะทำให้ผู้ใช้มีโลกเป็นของตนเอง ขาดการติดต่อกับผู้อื่นโดยเฉพาะที่เห็นชัดเจนมักเกิดช่องว่างระหว่างผู้สูงอายุกับเด็ก
    ฯลฯ

    http://oandg.co.uk/blog/technology-dependant-good-or-bad-thing 

    http://libbyloveskentucky.blogspot.com/2011/04/technology-good-but-also-bad.html

           ...จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีมีทั้งประโยชน์และโทษ ดังนั้นการใช้เทคโนโลยีอย่างถูกวิธีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ และต้องไม่ใช้เทคโนโลยีไปในทางที่ผิดอันจะส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อทั้งตนเองและผู้อื่น และในขณะเดียวกันมนุษย์เราก็จะต้องหันกลับมาพึ่งพาตนเองบ้าง และใช้เทคโนโลยีเฉพาะเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และในบางครั้งผู้ใหญ่หรือผู้ปกครองก็ต้องเข้ามาดูแลเด็ก และให้คำแนะนำแก่เด็กด้วยเพื่อไม่ให้เด็กเหล่านี้เข้าไปเสพสื่อที่บิดเบือนและผิดศีลธรรม...

    ที่มา:
    http://bumby-wilaiwan.blogspot.com/2011/12/blog-post_11.html
    http://www.com5dow.com/%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B9%8C-it/2223-%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%B5-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3.html
    https://poppygis.wordpress.com/